ฝุ่น PM 2.5 อยู่กับคนกรุงทุกวัน : ถอดบทเรียนรับมือ จาก 'เชียงใหม่-กทม.'

ฝุ่น PM 2.5 อยู่กับคนกรุงทุกวัน : ถอดบทเรียนรับมือ จาก 'เชียงใหม่-กทม.'“… กรุงเทพฯ มีฝุ่น PM 2.5 อยู่ทุกเวลา…ช่วงชั่วโมงเร่งด่วน ผมว่าอาจสูงถึง 90% อันตรายมากและโดยเฉพาะ ฝุ่น PM 2.5 มันกระจุกอยู่ตามจุดอันตรายดังต่อไปนี้ คือ ป้ายรถเมล์แทบตลอดเวลา ตามสี่แยก ตามถนนที่รถติด เกิดขึ้นทุกวัน ไม่เลือกฤดู ไม่เลือกวันด้วยซ้ำไป เพราะฉะนั้น ต้องให้ประชาชนเข้าใจคือ PM 2.5 PM 4 หรือ PM 10 มันไม่ได้มาตามฤดู เพราะมันอยู่กับเราทุกวัน เพียงแต่เปิดเผยให้เห็นในวันที่อากาศปิดเท่านั้น…”

 

 

นับแต่ช่วงเดือนธันวาคม 2563 กรุงเทพฯ ถูกปกคลุมอย่างหนักไปด้วยฝุ่น PM 2.5 ก่อนที่ฝุ่นจะเบางบางจางลง กระทั่งหวนกลับมาเกินค่ามาตรฐานอีกครั้งในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา หลายภาคส่วนมีนโยบายจัดการปัญหาด้วยหลายมาตรการ อาทิ ร.ต.อ.พงศกร ขวัญเมือง โฆษกกรุงเทพมหานคร ระบุว่ากทม.เตรียมพร้อมรับมือฝุ่นและแผนปฏิบัติการแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 ในพื้นที่กทม. ที่ได้เตรียมความพร้อมไว้ ตั้งแต่ 1 ธ.ค.-28 ก.พ.2564 แบ่งออกเป็นระยะตามสถานการณ์ฝุ่น คือ มาตรการสำหรับสถาน การณ์ฝุ่น PM2.5 ไม่เกิน 50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ( มคก.ต่อลบ.ม. ) จะห้ามรถบรรทุก 6 ล้อขึ้นไปเข้าพื้นที่ชั้นในของกทม. ตั้งแต่เวลา 06.00-21.00 น.

 

รวมทั้งระบุถึงการกำกับดูแลสถานที่ก่อสร้าง ควบคุมโรงงานอุตสาหกรรมงดกิจกรรมกลางแจ้งของเด็กเล็กและประชาสัมพันธ์ให้สวมใส่หน้ากากอนามัย ติดตั้งเครื่องวัดปริมาณฝุ่น 50 สำนักงานเขต และสวนสาธารณะ 20 แห่งทั่วกรุง เปิดสายด่วน 1584 เพื่อแจ้งเบาะแสรถควันดำ

 

ไม่เพียงเท่านั้น ที่ผ่านมาทาง กทม.ยังให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องล้างทำความสะอาดถนนเพื่อลดฝุ่นอยู่เป็นระยะ ซึ่งทำให้เกิดคำถามว่า การใช้น้ำสามารถกำจัดฝุ่น PM 2.5 ได้หรือ ในเมื่ออนุภาคของฝุ่น PM 2.5 มีขนาดเล็กมาก รวมทั้งมีข้อสังเกตว่า

 

มาตรการต่างๆ ที่นำมาใช้แก้ปัญหา สามารถช่วยลดทอนความรุนแรงของสถานการณ์ฝุ่นควันได้จริงหรือไม่

 

กระทั่งล่าสุด ภายในสัปดาห์ที่ผ่านมา ฝุ่น PM 2.5 ในกรุงเทพฯ กลับมาเกินค่ามาตรฐานในระดับที่เป็นอันตรายต่อประชาชนอีกครั้ง!

 

สำนักข่าวอิศรา (www.isrsnews.org)  สัมภาษณ์ ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ นายกสภาวิศวกร ประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย และอธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ถึงอันตรายของฝุ่น PM 2.5 ที่นักวิชาการรายนี้เน้นย้ำว่าแท้จริงแล้ว PM 2.5 อยู่คู่กับคนกรุงเทพฯ ทุกวัน ทุกวินาที

 

ด้าน นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ กล่าวถึงการทำงาน ผสานความร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ ในการแก้ไขปัญหา

 

ขณะที่ นายชัชวาลย์ ทองดีเลิศ ประธานคณะกรรมการอำนวยการสภาลมหายใจเชียงใหม่ อธิบาย สรุปบทเรียนการทำงานแบบบูรณาการร่วมกับภาคประชาชน ภาคประชาสังคม หน่วยงานภาครัฐ ในการร่วมกันแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ที่แม้จะมีบริบทสาเหตุต่างจากกรุงเทพฯ แต่ก็สะท้อนถึงการทำงานแบบองค์รวมที่น่าสนใจ รวมทั้งเสนอการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนที่เรียกว่า ‘เชียงใหม่โมเดล’

 

PM 2.5 อยู่กับคนกรุงทุกวินาที-ในกรุงเทพฯ กว่า 70% มาจากรถยนต์ :

ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ นายกสภาวิศวกร ประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย และอธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.)/ภาพจากhttps://twitter.com/suchatvee_ae

@ คุณเคยโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก ระบุว่า ฝุ่น PM 2.5 ในกรุงเทพฯ กว่า 70% มาจากรถยนต์ ขอถามถึงอันตรายของฝุ่น PM 2.5 ครั้งนี้ ?

ดร.สุชัชวีร์ : สิ่งหนึ่งที่คนทั่วไปเข้าใจผิดเสมอคือ เข้าใจว่า ฝุ่น PM 2.5 เกิดขึ้นในช่วงหน้าหนาว ช่วงธันวาคม หรือช่วงอากาศปิด อันนี้เป็นความคิดที่น่าเป็นห่วง ในความเป็นจริง PM 2.5อยู่กับเราทุกวันจริงๆ

การยืนยันทางการแพทย์ 100 % ยืนยัน แพทย์โรคปอด โรคหัวใจ หรือด้านสมอง ทางการแพทย์พูดซ้ำแล้วซ้ำเล่ามาหลายรอบ PM 2.5มันเล็กมากๆ เวลาเราสูดเข้าไปมันเข้าไปถึงในปอด จากในปอดเข้าไปถึงเส้นเลือด เส้นเลือดเราเล็ก ๆ มันก็เข้าไปได้ ทำให้เส้นเลือดเราขรุขระ เมื่อเส้นเลือดขรุขระ ทำให้การลำเลียงเลือดไปยังสมอง และหัวใจ โดยเฉพาะเด็กๆ สูดสะสมไปเรื่อยๆ คิดดูว่า เส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมองก็ขรุขระไปเรื่อยๆ ส่งผลต่อการพัฒนาสติปัญญา อันนี้การแพทย์ยืนยัน100 % ส่วนคนแก่ อย่างคุณพ่อคุณแม่ผม ถ้าสูดเข้าไปก็ส่งผลต่อระบบหัวใจ ต่อเรื่องของระบบการหายใจ เพราะฉะนั้น อันดับแรก คืออันตรายจริงๆ และไม่ใช่เพียง PM 2.5 เท่านั้น PM 4 หรือ PM 10 ที่ใหญ่ขึ้นมานิดหนึ่งก็อันตราย ซึ่งมาจากการก่อสร้าง ฝุ่นต่างๆ นี้ก็เป็นอันตรายไม่น้อยกว่ากันเท่าไหร่

 

@ เพราะฉะนั้น PM 2.5 อยู่คู่กับคนกรุงเทพทุกเดือน ทุกเวลา ?

 

ดร.สุชัชวีร์ : ทุกวินาที ที่เราคุยกันอยู่ตอนนี้ กรุงเทพฯ ก็มีฝุ่น PM 2.5 อยู่ทุกเวลา ดังนั้น ต้องแก้ที่จุดกำเนิด เมื่อแก้ที่จุดกำเนิดได้แล้ว ปัญหาปลายทางก็ทุเลา จุดกำเนิดคือรถยนต์เป็นหลัก รถยนต์จำพวกไหน คือรถสิบล้อที่เข้ามาไซต์งาน รถร่วมบริการ รถสองแถว รถอะไรต่างๆ แล้วรถพวกนี้ เจ้าของกิจการเขามีเป็นร้อยเป็นพันคัน ถ้ารัฐขอความร่วมมือกับเจ้าของเขา เจ้าของรถร่วมบริการ อย่างนี้ก็ช่วยได้เยอะ ควรคุยกับเขา จะช่วยได้เยอะ

 

@ PM 2.5 มาจากรถยนต์เป็นส่วนใหญ่จริงๆ หรือ ?

 

ดร.สุชัชวีร์ : ใน กทม.ผมกับสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง นำเอาเครื่องวัดฝุ่นคุณภาพสูงจากต่างประเทศ ไปทำการศึกษาวัดฝุ่นที่ป้ายรถเมล์ พบว่าก่อนรถเมล์จะมาฝุ่นก็ระดับนึง พอรถเมล์มา ฝุ่นขึ้นนิดนึง พอรถเมล์หยุด แล้วพอรถเมล์สตาร์ท พอเร่งเครื่องออกจากป้าย ปริมาณฝุ่นกระโดดขึ้นมาเลย มันชัดซะยิ่งกว่าชัดครับ ทุกการศึกษาระบุว่ามาจากรถ 70-80% แต่ในความเป็นจริง ช่วงชั่วโมงเร่งด่วน ผมว่าอาจสูงถึง 90%อันตรายมากและโดยเฉพาะ ฝุ่น PM 2.5 มันกระจุกอยู่ตามจุดอันตรายดังต่อไปนี้ ป้ายรถเมล์ แทบตลอดเวลา ตามสี่แยก ตามถนนที่รถติด พวกนี้จะหนักที่สุด และเกิดขึ้นทุกวัน ไม่เลือกฤดู ไม่เลือกวันด้วยซ้ำไป

 

เพราะฉะนั้น ที่ต้องให้ประชาชน เข้าใจคือ PM 2.5 PM 4 หรือ PM 10 มันไม่ได้มาตามฤดู เพราะมันอยู่กับเราทุกวัน เพียงแต่มันเปิดเผยให้เห็นในวันที่อากาศปิดเท่านั้น แต่จริงๆ มันอยู่กับเราทุกวัน แล้วมันสะสมไปเรื่อยๆ

 

มาตรการรัฐ แก้ปัญหาได้แค่ไหน :

 

@ กรณีผู้ว่า กทม. สั่งให้หน่วยงานเอารถนำมาฉีดต้นไม้ หรือว่าจะมีมาตรการควบคุมไม่ให้รถสิบล้อ รถหกล้อเข้ากรุงเทพฯตามเวลาที่กำหนด หรือตรวจสอบรถที่มีท่อไอเสียไม่ดี วิธีเหล่านี้จะช่วยได้ไหม ?

 

ดร.สุชัชวีร์ : อย่างน้อยที่สุดคือมีความพยายาม มีความกระตือรือร้นในการแก้ปัญหา

 

ลองดูทีละประเด็น ประเด็นแรก เรื่องการฉีดน้ำ อนุภาคของ PM 2.5 เล็กมากๆ ละอองน้ำจับไม่ได้หรอก เพราะน้ำละอองไม่เล็กเท่า PM 2.5 มันอาจจับ PM 10 ได้ อย่างไรก็ตาม เวลาละอองน้ำจับฝุ่นลงมาบนพื้น เมื่อเจอแสงแดดมันแห้ง มันก็กลับไปเป็นฝุ่นอีก เพราะฉะนั้น ต้องไปแก้ที่จุดกำเนิด คือน้ำช่วยเรื่องฝุ่นขนาดใหญ่ได้ และช่วยได้ในช่วงเวลาฝุ่นคลุ้งช่วงสั้นๆ แต่จากนั้น ฝุ่นก็ไปอยู่บนพื้น มันก็ขึ้นมาอีก ดังนั้น การแก้ให้ได้ผลจริงๆ ต้องไปแก้ที่ต้นตอ

 

ประเด็นที่สอง การกำหนดเรื่องรถไม่ให้เข้ากรุงตามเวลาที่กำหนด คือถ้ารถมีมาตรฐาน รถก็ไม่ได้ปล่อยฝุ่น รถที่มาตรฐานควรจะเข้าได้ แต่รถที่ปล่อยฝุ่นเกินมาตรฐานไปมากๆ ไม่ว่าเวลาไหนก็ไม่ควรจะเข้ามา ดังนั้นแล้ว มันก็ควรจะเป็นอย่างนั้น

 

@ การบูรณาการในการทำงานแก้ปัญหาเรื่องนี้ ควรจะมีการแลกเปลี่ยนกันอย่างไร หรือแม้แต่การวัดฝุ่นที่ สจล.ทำอยู่ นำมาร่วมแก้ปัญหาได้หรือไม่ ?

 

ดร.สุชัชวีร์ : ที่จริงตอนนี้ เราร่วมมือกับ กทม. อยู่ ผมจะบอกเสมอว่าจุดตายของคนกรุงเทพฯ คือป้ายรถเมล์ เป็นจุดตายจริงๆ ป้ายรถเมล์ อันตรายที่สุด จริงอยู่มันเป็นปลายเหตุ ซึ่งต้นเหตุเราก็ไม่รู้จะแก้อย่างไรในบทบาทของเรา แต่ในส่วนปลายเหตุ เราจะช่วยป้องกันคนได้ยังไงบ้าง ฝุ่นนี่ไม่แพ้น้ำแต่แพ้ลม ฝุ่นเวลามันกระจุกตัวอยู่ เราสูดไปเข้มข้นมันมีพิษร้าย แต่ถ้ามีลมเป่า ความเข้มข้นมันก็ลดลง คนที่ป้ายรถเมล์ก็รับพิษน้อยลง เพราะฉะนั้น ที่ป้ายรถเมล์ ที่ สจล. ทำ คือติดตั้งระบบเซ็นเซอร์ ก็จะส่งไปที่ป้าย มีป้ายแอลอีดีระบุว่าฝุ่นเกินมาตรฐาน กรุณาเอาผ้าปิดจมูก ดูแลตัวเอง เช่นเดียวกัน จะสั่งให้พัดลมเป่า เรามีโมเดลจำลองคณิตศาสตร์พบว่ามันช่วยได้จริงๆ ตรงนี้คือสิ่งที่ สจล. ทำ และพยายามร่วมมือกับ กทม. โดยจะเริ่มต้น 9 จุด ซึ่งเราตั้งใจอยากทำย่านราชประสงค์ ย่านพารากอน และสีลม จริงๆ แล้ว ไปวัดค่าฝุ่นเมื่อไหร่ในบริเวณที่กล่าวมา ก็ตกใจเมื่อนั้น ไม่ต้องรอฤดูกาล อยู่ระหว่างประสานงานกันอยู่ ก็อยากเห็นมันเกิด ทาง สจล. ก็พร้อมที่จะช่วย

 

@ การปลูกต้นไม้ช่วยได้ไหม ?

 

ดร.สุชัชวีร์ : มีส่วน แต่ PM 2.5 มันเล็กมาก การใช้วิธีนี้มันเหนื่อยจริงๆ อย่างที่เรียนย้ำ หากเป็น PM 4 กับ PM 10 ต้นไม้ช่วยได้เยอะ แต่พอมาถึง PM 2.5 ในความเป็นจริง มันเล็กมาก เล็กจนเหนื่อยที่จะใช้ต้นไม้ช่วย

 

ประชาชนต้องดูแลตัวเอง :

 

@ มีวิธีแก้ปัญหาอะไรที่ กทม. หรือรัฐบาลควรทำมากกว่านี้ หรือทำได้ดีกว่านี้ ในการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 ?

 

ดร.สุชัชวีร์ : ตอนนี้ประชาชนต้องดูแลตัวเอง หน้ากาก N95 มันอาจจะใส่แล้วรู้สึกรำคาญ ผมใส่แล้วก็หายใจไม่ออก แต่ PM 2.5 เรามองไม่เห็น ไม่มีกลิ่นเลยนะครับ ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา จริงๆ แล้ว ตามสี่แยกมีป้ายโฆษณาเยอะ น่าจะขอความร่วมมือเขาให้มีตัววิ่ง บอกว่ามี PM 2.5 PM 4 หรือ PM 10 เท่าไหร่ ถ้ามีมาก ประชาชนจะได้กลัวและใส่หน้ากาก น่าจะขอร้องเอกชนในส่วนนี้ได้บ้าง มันเป็นการที่จะช่วยได้เยอะ และเป็นกุศโลบาย เช่นกำลังมีการก่อสร้าง บริเวณนั้น ถ้าเห็นป้ายระบุปริมาณฝุ่นขึ้นสูง เขาก็ต้องกลัวคนร้องเรียน ก็ต้องปรับปรุง หรือมีเจ้าหน้าที่ ไปดูแล ดังนั้น ตรงจุดนี้น่าจะทำ ผมทำหนังสือถึงนายกฯ ในประเด็นนี้ก้ทำมาแล้ว พูดเรื่องนี้มาสองปีแล้ว

 

อยากฝากว่า PM 2.5 ร้ายกาจจริงๆ สำหรับตัวท่าน สำหรับลูกท่าน คุณพ่อคุณแม่ปู่ย่าตายาย อันตรายสุดๆ มันอยู่กับเราทุกวินาทีเพียงแต่มันไม่ได้เปิดเผยเท่านั้นแหละ อากาศปิดทำให้มันเปิดเผยออกมาเท่านั้นแหละ ดังนั้นเมื่อมันอยู่กับเราทุกวินาที ท่านยิ่งต้องป้องกันตัวเองนะครับ จะป้องกันยังไง ท่านก็ต้องบอกกับรัฐเหมือนกัน เช่น เราขับรถตามรถควันดำทุกวัน สิ่งเหล่านี้ไม่ควรจะเกิดแล้ว เราต้องพูดต้องขอร้องบ่อยๆ มันจะต้องดีขึ้น

 

@ มีอะไรอยากฝากถึงหน่วยงานรัฐหรือ กทม. ?

 

ดร.สุชัชวีร์ : ก็ขอเป็นกำลังใจให้ รู้ว่าเป็นปัญหาที่สั่งสมมาเป็น 10 ถึง 20 ปี จนมาถึงยุคนี้ ก็ขอให้กำลังใจว่า เมืองใหญ่ๆ อย่างลอสแองเจลิส หรือโตเกียวเขาก็แก้ไขมาได้แล้ว ผมเคยไปวัดค่าฝุ่น ชั่วโมงเร่งด่วนที่โตเกียว พบ 2 ไมโครกรัม ต่อลูกบาศก์เมตร โตเกียวยังทำได้ ลอสแองเจลิสยังทำได้ กรุงเทพฯก็ต้องทำได้แน่นอน

 

@ กรณีฝุ่น PM 2.5 ที่เชียงใหม่ กับกรุงเทพฯ มีอะไรที่ต่างกัน ?

 

ดร.สุชัชวีร์ : โอ้โห! ต่างกันสุดๆ แน่นอน เชียงใหม่ ก็มีเรื่องรถยนต์ แต่ส่วนใหญ่มาจากการเผาในที่โล่งแจ้ง ดังนั้น รัฐก็จัดการแตกต่างกัน ผมและ สจล.ทำงานร่วมกับภาคประชาชนเชียงใหม่ ทำงานร่วมกับ ม.แม่โจ้ และม.เชียงใหม่ทุกปี ประเด็นหนึ่ง

 

คือเอาหน้ากากไปช่วยพี่น้องประชาชน ประเด็นที่สอง คือ ให้ความรู้ว่าเราควรจะทำอย่างไร โดยมีศูนย์วิจัยของม.แม่โจ้และม.เชียงใหม่เป็นแนวร่วม และตอนนี้ก็ร่วมกับภาคประชาชนในเชียงใหม่ด้วย

ที่มา : https://www.isranews.org/article/isranews/95332-open00-23.html?__FB_PRIVATE_TRACKING__=%7B%22loggedout_browser_id%22%3A%2260d33eabebc688a324b10556ed971080efce1dc4%22%7D&fbclid=IwAR2CckMUOHPv9yHQGq8y9fCBl2-YYy9-mh9glajhxKxi3tcyrzFqecv7sdk

 

ข่าวจาก : ฝ่ายสื่อสารองค์กร สำนักงานบริหารงานทั่วไปและประชาสัมพันธ์

จำนวนเข้าชม : 5816